วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

12.  ความรู้ทางวิทยาศาสตร์  มีความแตกต่างจากความรู้ในสาขาวิชาอื่นๆอย่างไร
ตอบ   ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่สะสมรวบรวมไว้อย่างมีระบบโดยผ่านการทดสอบและเป็นวิชาที่ค้นหาความจริงเกี่ยวกับวัตถุ เหตุการณ์และปรากฏการณ์ธรรมชาติ  โดยอาศัยวิธีการ  ทักษะกระบวนการและเจตคติทางวิทยาศาสตร์  เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป และความรู้ที่ได้มานั้นต้องมีที่มาหลักการและเหตุผลในการที่จะใช้อ้างอิงถึงความถูกต้องชัดเจน แต่สาขาวิชาอื่นๆนั้น เช่น สาขาวิชาคณิตศาสตร์จะเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของตัวเลขเป็นส่วนใหญ่ ส่วนสาขาวิชาสังคมศาสตร์ก็จะเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรณี และสาขาวิชาภาษาไทยนั้นจะเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการใช้ภาษา ว่าจะใช้อย่างไรให้ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียกับตนเองและสังคมต่อไป
13.  อธิบายวิธีการทำ  osmometer  อย่างง่าย
ตอบ     อสโมมิเตอร์ ( Osmometer ) คือเครื่องมือที่ใช้แสดงการเกิดออสโมซิส มีส่วนประกอบที่สำคัญคือ ถ้วยแก้ว หรือภาชนะที่ใส่น้ำบริสุทธิ์ กับภาชนะที่มีลักษณะเป็นถุงที่ทำจากเยื่อบางๆ ภายในบรรจุสารละลายที่ตัวทำละลายเป็นน้ำบริสุทธิ์ ส่วนตัวถูกละลายเป็นน้ำตาลมีหลอดแก้วปลายทะลุทั้ง 2 ข้างเสียบอยู่ในถุงด้วย เมื่อนำถุงที่บรรจุสารละลายใส่ลงไปในแก้วน้ำทิ้งไว้สักครู่ จะพบว่าระดับน้ำในหลอดแก้วจะสูงขึ้น แสดงว่าน้ำจากถ้วยแก้วแพร่ผ่านเยื่อบาง ๆ เข้าไปในถุงจึงทำให้น้ำในถุงเพิ่มขึ้นและดันให้ระดับน้ำสูงขึ้นไปในหลอดแก้ว แต่อนุภาคของน้ำตาลแพร่ออกมาจากถุงไม่ได้
10.   สิ่งใดเป็นตัวบ่งชี้ว่า เซลล์ยังคงดำรงความเป็นเซลล์อยู่ได้
ตอบ   สิ่งที่เป็นตัวบ่งชี้คือ เซลล์เมมเบรน เป็นเยื่อหุ้มที่อยู่ชิดกับผนังเซลล์ อาจจะมีลักษณะเรียบ (smooth) หรืออาจจะพับไปมา เพื่อขยายขนาด พลาสมา เมมเบรนเข้าไปในเซลล์ เรียกว่า มีโซโซม (mesosome)หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า"เซลล์คุม"มีหน้าที่ควบคุม การเข้าออกของน้ำ สารอาหาร และอิออนโลหะต่างๆ เป็นตัวแสดงขอบเขตของเซลล์ เซลล์ทุกชนิดต้องมีเยื่อหุ้มเซลล์ และนิวเคลียส เป็นโครงสร้างที่มักพบอยู่กลางเซลล์ เมื่อย้อมสี จะติดสีเข้มทึบ สังเกตได้ชัดเจน
ปกติเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ทั่วไปจะมีนิวเคลียสเพียง นิวเคลียส โครงสร้างนิวเคลียสแบ่งออกเป็น  2  ส่วน คือ
เยื่อหุ้มนิวเคลียส และนิวคลีโอพลาซึม



11.  อธิบายโครงสร้างของกล้องจุลทรรศน์ พร้อมระบุวิธีใช้
ตอบ   1.ฐาน (Base) เป็นส่วนที่ใช้วางบนโต๊ะ ทำหน้าที่รับน้ำหนักทั้งหมดของกล้องจุลทรรศน์ มีรูปร่างสี่เหลี่ยม หรือวงกลม ที่ฐานจะมีปุ่มสำหรับปิดเปิดไฟฟ้า
2.แขน (Arm) เป็นส่วนเชื่อมตัวลำกล้องกับฐาน ใช้เป็นที่จับเวลาเคลื่อนย้ายกล้องจุลทรรศน์
3.ลำกล้อง (Body tube) เป็นส่วนที่ปลายด้านบนมีเลนส์ตา ส่วนปลายด้านล่างติดกับเลนส์วัตถุ ซึ่งติดกับแผ่นหมุนได้ เพื่อเปลี่ยนเลนส์ขนาดต่าง ๆ ติดอยู่กับจานหมุนที่เรียกว่า Revolving Nosepiece
4.ปุ่มปรับภาพหยาบ (Coarse adjustment) ทำหน้าที่ปรับภาพโดยเปลี่ยนระยะโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุ (เลื่อนลำกล้องหรือแท่นวางวัตถุขึ้นลง) เพื่อทำให้เห็นภาพชัดเจน
5.ปุ่มปรับภาพละเอียด (Fine adjustment) ทำหน้าที่ปรับภาพ ทำให้ได้ภาพที่ชัดเจนมากขึ้น
6.เลนส์ใกล้วัตถุ (Objective lens) เป็นเลนส์ที่อยู่ใกล้กับแผ่นสไลด์ หรือวัตถุ ปกติติดกับแป้นวงกลมซึ่งมีประมาณ 3-4 อัน แต่ละอันมีกำลังบอกเอาไว้ เช่น x3.2, x4, x10, x40 และ x100 เป็นต้น ภาพที่เกิดจากเลนส์ใกล้วัตถุเป็นภาพจริงหัวกลับ
7.เลนส์ใกล้ตา (Eye piece) เป็นเลนส์ที่อยู่บนสุดของลำกล้อง โดยทั่งไปมีกำลังขยาย 10x หรือ 15x ทำหน้าที่ขยายภาพที่ได้จากเลนส์ใกล้วัตถุให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดภาพที่ตาผู้ศึกษาสามารถมองเห็นได้ โดยภาพที่ได้เป็นภาพเสมือนหัวกลับ
8.เลนส์รวมแสง (Condenser) ทำหน้าที่รวมแสงให้เข้มขึ้นเพื่อส่งไปยังวัตถุที่ต้องการศึกษา
9.กระจกเงา (Mirror) ทำหน้าที่สะท้อนแสงจากธรรมชาติหรือแสงจากหลอดไฟภายในห้องให้ส่องผ่านวัตถุโดยทั่วไปกระจกเงามี 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นกระจกเงาเว้า อีกด้านเป็นกระจกเงาระนาบ สำหรับกล้องรุ่นใหม่จะใช้หลอดไฟเป็นแหล่งกำเนิดแสง ซึ่งสะดวกและชัดเจนกว่า
10.ไดอะแฟรม (Diaphragm) อยู่ใต้เลนส์รวมแสงทำหน้าที่ปรับปริมาณแสงให้เข้าสู่เลนส์ในปริมาณที่ต้องการ
11.แท่นวางวัตถุ เป็นแท่นใช้วางแผ่นสไลด์ที่ต้องการศึกษา
12.ที่หนีบสไลด์ ใช้หนีบสไลด์ให้ติดอยู่กับแท่นวางวัตถุ ในกล้องรุ่นใหม่จะมี Mechanical stage แทนเพื่อควบคุมการเลื่อนสไลด์ให้สะดวกยิ่งขึ้น
วิธีการใช้กล้องจุลทรรศน์
1. การจับกล้อง ใช้มือหนึ่งจับที่แขนของกล้อง และใช้อีกมือหนึ่งรองรับที่ฐาน
2. ตั้งลำกล้องให้ตรงเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนประกอบต่างๆเลื่อนหลุดจากตำแหน่ง
3. หมุนเลนส์ใกล้วัตถุให้เป็นเลนส์ที่มีกำลังขยายต่ำสุดให้อยู่ในตำแหน่งแนวของลำกล้อง
4. ปรับกระจกเงา หรือเปิดไฟเพื่อให้แสงเข้าลำกล้องได้เต็มที่
5. นำแผ่นสไลด์ที่จะศึกษาวางบนแท่นวางวัตถุ ให้วัตถุอยู่บริเวณกึ่งกลางบริเวณที่แสงผ่าน
6. มองด้านข้างตามแนวระดับแท่นวางวัตถุ ค่อยๆหมุนปุ่มปรับภาพหยาบให้เลนส์ใกล้วัตถุเลื่อนลงมาอยู่ใกล้ๆกระจกปิดสไลด์ (แต่ต้องระวังไม่ให้เลนส์กับสไลด์สัมผัสกัน เพราะจะทำให้ทั้งคู่แตกหักหรือเสียหายได้)
7. มองที่เลนส์ใกล้ตาค่อยๆปรับปุ่มปรับภาพหยาบให้กล้องเลื่อนขึ้นช้าๆ เพื่อหาระยะภาพ เมื่อได้ภาพแล้วให้หยุดหมุน ตรวจดูแสงว่ามากหรือน้อยเกินไปหรือไม่ ให้ปรับไดอะแฟรมเพื่อให้ได้แสงที่พอเหมาะ
8. มองที่เลนส์ใกล้ตาหมุนปุ่มปรับภาพละเอียดเพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าวัตถุที่ศึกษาไม่อยู่ตรงกลางให้เลื่อนแผ่นสไลด์เล็กน้อยจนเห็นวัตถุอยู่ ตรงกลางพอดี
9. ถ้าต้องการให้ภาพขยายใหญ่ขึ้นก็หมุนเลนส์อันที่กำลังขยายสูงขึ้นเข้าสู่แนว ลำกล้อง แล้วปรับความคมชัดด้วยปุ่มปรับภาพละเอียดเท่านั้น
10. บันทึกกำลังขยายโดยหาได้จากผลคูณดังที่กล่าวไว้แล้ว
11. หลังจากใช้กล้องจุลทรรศน์แล้ว ให้ปรับกระจกเงาให้อยู่ในแนวดิ่ง ตั้งฉากกับตัวกล้อง เลื่อนที่หนีบสไลด์ให้ตั้งฉากกับที่วางวัตถุ หมุนเลนส์ใกล้วัตถุให้เป็นอันที่มีกำลังขยายต่ำสุดอยู่ในตำแหน่งของลำกล้อง และเลื่อนลำกล้องให้อยู่ในตำแหน่งต่ำสุด เช็ดทำความสะอาดส่วนที่เป็นโลหะด้วยผ้านุ่มๆและสะอาด แล้วจึงนำกล้องเข้าเก็บในตำแหน่งที่เก็บกล้อง
7.รูปร่างของเซลล์ มีความสัมพันธ์หน้าที่ของเซลล์จริงหรือ เพราะเหตุใด 
ตอบ   รูปร่างของเซลล์
     เนื่องจากเซลล์มีลักษณะเฉพาะและถูกควบคุมด้วยยีน (Gene) ทำให้เซลล์มีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันตามกิจกรรมที่ทำ เช่น ในร่างกายคนเราเซลล์ของสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์จะแตกต่างกันออก ไป
หน้าที่ของเซลล์
เซลล์แต่ละชนิดอาจทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทำหน้าที่หลาย ๆ ด้านได้ โดยทั่วไปเซลล์มีหน้าที่เกี่ยวกับ
1.การเจริญและการสืบพันธุ์ (growth and reproduction) เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของสิ่งมีชีวิต คือ มีความสามารถในการเพิ่มจำนวนในการสืบพันธุ์ มีการเจริญเติบโตและเพิ่มขนาดของเซลล์
2.การหายใจ (respiration) มีกระบวนการที่สลายสารอาหารชนิดต่าง ๆ เพื่อสร้างพลังงานในการดำรงชีวิต โดยการใช้หรือไม่ใช้ออกซิเจนมาร่วมในปฏิกิริยาการหายใจระดับเซลล์ ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
3.การขับถ่ายและการหลั่งสาร (excretion and secretion) ความสามารถในการขับถ่ายของเสียพวก nitrogenuos waste products ออกภายนอกเซลล์ เช่น เซลล์ทั่วไปมีการขับถ่ายยูเรีย และการที่เซลล์ต่อมที่ขับถ่ายเหงื่อ นอกจากนี้เซลล์บางชนิดมีความสามารถในการสร้างและหลั่งสารที่ถูกผลิตภายใน เซลล์ออกสู่ภายนอกเซลล์ สารต่างๆ ได้แก่ พวกฮอร์โมน เอนไซม์ น้ำย่อยชนิดต่าง ๆ ของระบบต่าง ๆ
4.การดูดซึม (absorption) เซลล์มีความสามารถในการดูดซึมหรือเก็บกินสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอกตัวเซลล์ด้วยวิธีการดื่ม และการกิน ซึ่งได้แก่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวและมาโครฟาจ
5.การเปลี่ยนรูปร่าง เซลล์สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างตลอดจนมีการเคลื่อนไหว เช่น การหดตัวของกล้ามเนื้อ
6.การตอบสนอง เซลล์มีความสามารถในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น เช่น พวกเซลล์ประสาท เซลล์รับความรู้สึก
7.การส่งผ่านสาร (conducitivity) เซลล์มีความสามารถในการส่งผ่านสิ่งกระตุ้นต่อไป ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พบในบริเวณเยื่อหุ้มเซลล์ของเส้นใยประสาทและเซลล์กล้าม เนื้อชนิดต่าง ๆ
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า รูปร่างของเซลล์ มีความสัมพันธ์กับหน้าที่ของเซลล์จริง เพราะเซลล์แต่ละชนิดมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป บางเซลล์ก็มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของอวัยวะ บางเซลล์มีหน้าที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิต เป็นต้น การที่เซลล์แต่ละชนิดมีหน้าที่ต่างกันจึงทำให้เซลล์แต่ละชนิดมีขนาดและรูปร่างต่างกัน
8. Protoplasm  กับ  cytoplasm  เหมือน /  แตกต่างกันอย่างไรบ้าง 
ตอบ     ความเหมือนและความต่างระหว่าง Protoplasm  กับ  cytoplasm คือ โพรโทพลาสซึม เป็นส่วนของเซลล์ที่อยู่ภายในเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งหมด ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเจริญและการดำรงชีวิตของเซลล์ โพรโทพลาสซึมของเซลล์ต่าง ๆ จะประกอบด้วยธาตุที่คล้ายคลึงกัน 4 ธาตุหลัก คือ คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซึ่งรวมกันถึง 90% ส่วนธาตุที่มีน้อยก็คือ ทองแดง สังกะสี อะลูมิเนียม โคบอลต์ แมงกานีส โมลิบดินัม และ บอรอน ธาตุต่าง ๆ เหล่านี้ จะรวมตัวกันเป็นสารประกอบต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเซลล์และสิ่งมีชีวิต โพรโทพลาสซึม ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) และนิวเคลียส (Nucleus)  และไซโทพลาซีม เป็นส่วนหนึ่งของโปรโทพลาซึม ที่อยู่รอบ ๆ นิวเคลียส ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่มีชีวิตภายในเซลล์ เป็นของเหลว ซึ่งภายในมีหลายอย่างที่สำคัญเช่น คลอโรพลาส ในคลอโรพลาสมีคลอโรฟิลล์เอาไว้สังเคราะห์แสง มีออแกเนล ซึ่งทำให้เซลล์มีชีวิตอยู่ได้เป็นต้น ซึ่งสามารถพบได้ทั้งเซลล์พืชและเซลล์สัตว์
5.กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง กับกล้องจุลทรรศน์แบบอิเล็กตรอน  มีความเหมือน /  แตกต่าง  อย่างไรบ้าง
ตอบ    1. กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง
เป็นกล้องที่ได้รับการพัฒนาจากในอดีตอย่างมาก และใช้แสงที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ที่มีกำลังขยายถึง 2,000 เท่าเลยที่เดียวเชียวและเป็นกล้องที่ราคาถูกสามารถใช้ในงานที่ละเอียดพอประมาณ แบบได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
(1) กล้องจุลทรรศน์ที่ใช้แสงแบบธรรมดา
ประกอบด้วยเลนส์ 2 ชนิดคือ เลนส์ใกล้วัตถุและเลนส์ใกล้ตา โดยใช้แสงผ่านวัตถุแล้วขึ้นมาที่เลนส์จนเห็นภาพที่บนวัตถุอย่างชัดเจน
(2) กล้องที่ใช้แสงแบบสเตอริโอ
เป็นกล้องที่ประกอบด้วยเลนส์ที่ทำให้เกิดภาพแบบ 3 มิติใช้ศึกษาวัตถุที่มีขนาดใหญ่แต่ตาเปล่าไม่สามารถแยกรายละเอียดได้จึงต้อง ใช้กล้องชนิดนี้ช่วยขยาย กล้องชนิดนี้มีข้อแตกต่างจากกล้องทั่วๆไป คือ

1. ภาพที่เห็นเป็นภาพเสมือนมีความชัดลึกและเป็นภาพสามมิติ
2. เลนส์ใกล้วัตถุมีกำลังขยายต่ำ คือ น้อยกว่า 1 เท่า
3. ใช้ศึกษาได้ทั้งวัตถุโปร่งแสงและวัตถุทึบแสง
4. ระยะห่างจากเลนส์ใกล้วัตถุกับวัตถุที่ศึกษาอยู่ในช่วง 63-225 มิลลิเมตร

2. กล้องจุลทรรศน์แบบอิเล็กตรอน
เป็นกล้องที่ใช้อิเล็กตรอนความถี่สูงให้การทำงานแทนแสง สามารถขยายได้ถึง 500,000 เท่า จนเห็นโมเลกุลที่อยู่ในโครงสร้างต่างๆได้เลย แต่ด้วยความสามารถขยายที่สูงราคาจึงสูงตาม
(1)กล้องอิเล็กตรอนแบบส่องผ่าน (Transmission electron microscope) เรียกย่อว่า TEM
เอิร์น รุสกา สร้าวได้เป็นคนแรก เมื่อปี พ.ศ. 2475 ใช้ในการศึกษาโครงสร้างภายในเซลล์โดยลำแสงอิเล็กตรอนจะส่องผ่านเซลล์หรือ ตัวอย่างที่ศึกษา ซึ่งต้องมีการเตรียมแบบพิเศษและบางเป็นพิเศษด้วย
(2) กล้องอิเล็กตรอนแบบส่งกราด (Scanning electron microscope) เรียกย่อว่า  SEM เอ็ม วอน เอนเดนนี สร้างสำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2481 โดยใช้ศึกษาผิวของเซลล์หรือผิวของวัตถุที่นำมาศึกษา โดนลำแสงอิเล็กตรอนจะส่องกราดไปบนผิววัตถุ ทำให้ได้ภาพซึ่งมีลักษณะเป็นภาพ 3 มิติ

ตารางเปรียบเทียบกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง กับ กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน

ลักษณะที่เปรียบเทียบ
กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
1. แหล่งกำเนิดแสงกระจกหรือหลอดไฟปืนยิงอิเล็กตรอน
2. แสงที่ใช้แสงสว่างในช่วงที่ตามองเห็นได้ (ม่วง-แดง) ความยาวคลื่น 4,000-7,000 อังสตรอมลำแสงอิเล็กตรอนความยาวคลื่นประมาณ 0.05 อังสตรอม
3. ชนิดของเลนส์เลนส์แก้วเลนส์แม่เหล็กไฟฟ้า
4. กำลังขยาย1,000-1,500 เท่า200,000-500,000 เท่า หรือมากกว่า
5. ขนาดของวัตุที่เล็กที่สุดที่มองเห็น0.2 ไมโครเมตร0.0004 ไมโครเมตร
6. อากาศในตัวกล้องมีอากาศสุญญากาศ
7. ภาพที่ได้ภาพเสมือนหัวกลับดูได้จากเลนส์ตาภาพปรากฎบนจอรับภาพเรืองแสง
8. ระบบหล่อเย็นไม่มีมีเนื่องจากเกิดความร้อนมาก
9. วัตถุที่ส่องดูมีหรือไม่มีชีวิตไม่มีชีวิตเท่านั้น

6.มีคนกล่าวว่า virus  จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำลาย ทฤษฎีเซลล์   ท่านเห็นด้วยหรือไม่เพราะเหตุใด 
ตอบ     ไวรัส หมายถึงจุลินทรีย์ที่สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ (infectious agents) ทั้งในมนุษย์, สัตว์, พืช และ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตมีเซลล์ (cellular life) ทำให้เกิดโรคที่ส่งผลกระทบกว้างขวาง จึงมีความสำคัญที่จะต้องศึกษาทั้งในทางการแพทย์และทางเศรษฐกิจ ไวรัสเป็นปรสิตอยู่ ในร่างของสิ่งมีชีวิตอื่น (obligate intracellular parasite) ไม่สามารถเติบโตหรือแพร่พันธุ์นอกเซลล์อื่นได้ ไวรัสอาจถือได้ว่าเป็นจุลินทรีย์ที่มีลักษณะของการเป็นสิ่งมีชีวิตเพียง ประการเดียวคือสามารถแพร่พันธุ์ หรือการถ่ายทอดสารพันธุกรรมของตนเองจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง
                ทฤษฎีเซลล์ ตั้งโดย เทโอดอร์ ชวันน์ และ มัตทิอัส   ยาคบชไลเดน มีใจความว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายประกอบขึ้นด้วยเซลล์และเซลล์คือหน่วยพื้นฐานของสิ่งมี ชีวิตทุกชนิดและทฤษฎีเซลล์ในปัจจุบันยังครอบคลุมถึงใจความสำคัญ 3 ประการคือ
     1. สิ่งมีชีวิตทั้งหลายอาจมีเซล์เดียวหรือหลายเซลล์ และภายในเซลล์มีสารพันธุกรรมและมีกระบวนการเมแทบอลิซึม ทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นดำรงอยู่ได้
     2.เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิตที่มีการจัดระบบการทำงานภายใจเซลล์และโครงสร้างของเซลล์
     3. เซลล์ต่าง ๆ มีกำเนิดมาจากเซลล์เริ่มแรกโดยการแบ่งเซลล์ของเซลล์เดิม (ตามทฤษฎีวิวัฒนาการของสารอินทรีย์ พบว่าสิ่งมีชีวิตแรกเริ่มเกิดมาจากสิ่งไม่มีชีวิต) โดยนักชีววิทยา ถือว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนเซลล์เป็นผลเสียสืบเนื่องมาจากเซลล์รุ่นก่อน

และเห็นด้วยกับข้อความดังกล่าว เพราะไวรัสเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถเติบโตหรือแพร่พันธุ์นอกเซลล์ได้ หลังจากที่ไวรัสแพร่พันธุ์ได้เป็นจำนานมากมันจึงไปทำลายการจัดระบบการทำงานภายในเซลล์และโครงสร้างของเซลล์
3.ชีวจริยธรรม  มีความสำคัญต่อการ ทำงานของนักชีววิทยาอย่างไร  อธิบายพร้อมยกตัวอย่างให้เห็นจริง  
ตอบ    ชีวจริยธรรม คือ จริยธรรมของบุคคล หรือสังคม ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ที่เกิดขึ้นทั้งอย่างเป็นธรรมชาติ และอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ( จากกระบวนการ หรือวิธีการใหม่ ๆ ของวิทยาศาสตร์ ) ความหมายของชีวจริยธรรมที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยที่ยังเป็นความหมายพื้นฐานอย่างกว้าง ๆ อยู่ คือ จริยธรรมของการนำความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับพันธุกรรม ( หรือยีน ) ของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไปใช้ให้ถูกต้อง ( อย่างมีศีลธรรม อย่างมีคุณธรรม)
ส่วนนักชีววิทยา คือนักวิทยาศาสตร์ที่ทุ่มเทและคิดค้นผลการทดลองทางชีววิทยาผ่านการศึกษาเกี่ยวกับชีวิต นักชีววิทยาจะศึกษาเกี่ยวกับระบบสิ่งมีชีวิตและความสัมพันธ์ที่สิ่งมีชีวิตมีต่อสิ่งแวดล้อม นักชีววิทยาจะคอยวิจัยเพื่อค้นหากลวิธีที่ควบคุมการทำงานของระบบสิ่งมีชีวิต และยังมีส่วนวิจัยเพื่อพัฒนาหรือปรับปรุงกระบวนการผลิตเกี่ยวกับยา การอุตสาหกรรม และการเกษตรด้วยโดยที่นักชีววิทยาจำเป็นที่จะต้องทำการทดลองหรือปฏิบัติการของสิ่งมีชีวิตอย่างถูกต้องและมีคุณธรรม จริยธรรมมากขึ้นโดยม่มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้
ยกตัวอย่างเช่น นักชีววิทยาโมเลกุล(molecular biologist) จะสนใจศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างและการทำงานของสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวต   เช่น สารพันธุกรรม และสารต่างๆ ภายในเซลล์ นักเซลล์วิทยา(cell biologist) สนใจศึกษาองค์ประกอบของเซลล์แต่ละชนิด  กลุ่มของเซลล์การเพาะเลี้ยงเซลล์ภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิต ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเซลล์ อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่อเซลล์ นักชีววิทยาประชากร (population biologist) สนใจศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงขนาดของประชากร สาเหตุและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

4.วิวัฒนาการของกล้องจุลทรรศน์ มีความสัมพันธ์กับวิวัฒนาการของความรู้ทางชีววิทยาอย่างไร
ตอบ    กล้องจุลทรรศน์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 2 ประเภท คือ กล้องจุลทรรศน์แบบแสง (Optical microscopes) และกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน(Electron microscopes)
กล้องจุลทรรศน์ชนิดที่พบได้มากที่สุด คือชนิดที่ประดิษฐ์ขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกว่า กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (optical microscope) เป็นอุปกรณ์ใช้แสงอย่างหนึ่ง มีเลนส์อย่างน้อย 1 ชิ้น เพื่อทำการขยายภาพวัตถุที่วางในระนาบโฟกัสของเลนส์นั้นๆ
 กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง

1.Light microscope เป็นกล้องจุลทรรศน์ที่พบอยู่ทั่วไป โดยเวลาส่องดูจะเห็นพื้นหลังเป็นสีขาว และจะเห็นเชื้อจุลินทรีย์มีสีเข้มกว่า

2.Stereo microscope เป็นกล้องจุลทรรศน์ที่ส่องดูสิ่งมีชีวิตที่ไม่เล็กมาก ส่องดูเป็น3มิติ ส่วนใหญ่จะใช้ในการศึกษาแมลง
3.Dark field microscoe เป็นกล้องจุลทรรศน์ที่มีพื้นหลังเป็นสีดำ เห็นเชื้อจุลินทรีย์สว่าง เหมาะสำหรับใช้ส่องจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็ก ที่ติดสียาก
4.Phase contrast microscope ใช้สำหรับส่องเชื้อจุลินทรีย์ที่ยังไม่ได้ทำการย้อมสี จะเห็นชัดเจนกว่า Light microscope
5.Fluorescence microscope ใช้แหล่งกำเนิดแสงเป็น อัลตราไวโอเลต ส่องดูจุลินทรีย์ที่ย้อมด้วยสารเรืองแสง ซึ่งเมื่อกระทบกับแสง UV จะเปลี่ยนเป็นแสงช่วงที่มองเห็นได้ แล้วแต่ชนิดของสารที่ใช้ พื้นหลังมักมีสีดำ

 กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน

กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (Electron microscope) เป็นกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังการขยายสูงมาก เพราะใช้ลำแสงอิเล็กตรอนแทนแสงปกติและใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าแทนเลนส์แก้ว เป็นกล้องที่ใช้ในการศึกษาโครงสร้าง และส่วนประกอบของเซลล์ ได้อย่างละเอียด ที่กล้องชนิดอื่นไม่สามารถทำได้ มีกำลังขยาย 1,600เท่า

ส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์

1.ฐาน (Base) เป็นส่วนที่ใช้วางบนโต๊ะ ทำหน้าที่รับน้ำหนักทั้งหมดของกล้องจุลทรรศน์ มีรูปร่างสี่เหลี่ยม หรือวงกลม ที่ฐานจะมีปุ่มสำหรับปิดเปิดไฟฟ้า
2.แขน (Arm) เป็นส่วนเชื่อมตัวลำกล้องกับฐาน ใช้เป็นที่จับเวลาเคลื่อนย้ายกล้องจุลทรรศน์
3.ลำกล้อง (Body tube) เป็นส่วนที่ปลายด้านบนมีเลนส์ตา ส่วนปลายด้านล่างติดกับเลนส์วัตถุ ซึ่งติดกับแผ่นหมุนได้ เพื่อเปลี่ยนเลนส์ขนาดต่าง ๆ ติดอยู่กับจานหมุนที่เรียกว่า Revolving Nosepiece
4.ปุ่มปรับภาพหยาบ (Coarse adjustment) ทำหน้าที่ปรับภาพโดยเปลี่ยนระยะโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุ (เลื่อนลำกล้องหรือแท่นวางวัตถุขึ้นลง) เพื่อทำให้เห็นภาพชัดเจน
5.ปุ่มปรับภาพละเอียด (Fine adjustment) ทำหน้าที่ปรับภาพ ทำให้ได้ภาพที่ชัดเจนมากขึ้น
6.เลนส์ใกล้วัตถุ (Objective lens) เป็นเลนส์ที่อยู่ใกล้กับแผ่นสไลด์ หรือวัตถุ ปกติติดกับแป้นวงกลมซึ่งมีประมาณ 3-4 อัน แต่ละอันมีกำลังบอกเอาไว้ เช่น x3.2, x4, x10, x40 และ x100 เป็นต้น ภาพที่เกิดจากเลนส์ใกล้วัตถุเป็นภาพจริงหัวกลับ
7.เลนส์ใกล้ตา (Eye piece) เป็นเลนส์ที่อยู่บนสุดของลำกล้อง โดยทั่งไปมีกำลังขยาย 10x หรือ 15x ทำหน้าที่ขยายภาพที่ได้จากเลนส์ใกล้วัตถุให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดภาพที่ตาผู้ศึกษาสามารถมองเห็นได้ โดยภาพที่ได้เป็นภาพเสมือนหัวกลับ
8.เลนส์รวมแสง (Condenser) ทำหน้าที่รวมแสงให้เข้มขึ้นเพื่อส่งไปยังวัตถุที่ต้องการศึกษา
9.กระจกเงา (Mirror) ทำหน้าที่สะท้อนแสงจากธรรมชาติหรือแสงจากหลอดไฟภายในห้องให้ส่องผ่านวัตถุโดยทั่วไปกระจกเงามี 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นกระจกเงาเว้า อีกด้านเป็นกระจกเงาระนาบ สำหรับกล้องรุ่นใหม่จะใช้หลอดไฟเป็นแหล่งกำเนิดแสง ซึ่งสะดวกและชัดเจนกว่า
10.ไดอะแฟรม (Diaphragm) อยู่ใต้เลนส์รวมแสงทำหน้าที่ปรับปริมาณแสงให้เข้าสู่เลนส์ในปริมาณที่ต้องการ
11.แท่นวางวัตถุ เป็นแท่นใช้วางแผ่นสไลด์ที่ต้องการศึกษา
12.ที่หนีบสไลด์ ใช้หนีบสไลด์ให้ติดอยู่กับแท่นวางวัตถุ ในกล้องรุ่นใหม่จะมี Mechanical stage แทนเพื่อควบคุมการเลื่อนสไลด์ให้สะดวกยิ่งขึ้น
และวิวัฒนาการทางชีววิทยา เริ่มแรกจากเซลล์ ๆ จะสร้างสารที่ต้องการจากอาหารได้เติบโต และสืบพันธุ์ได้ และจะต้องมีวิธีที่เซลล์จะได้พลังงานมาใช้ วิธีการนั้นก็คือการหายใจ
ดังนั้น วิวัฒนาการของกล้องจุลทรรศน์จึงมีความสัมพันธ์กับวิวัฒนาการของความรู้ทางชีววิทยา เนื่องจาก ความรู้ทางชีววิทยานั้นจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตมีทั้งที่มองเห็นด้วยตาเปล่าและที่มองไม่เห็น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการนำกล้องจุลทรรศน์มาปรับใช้เพื่อศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตให้มีความละเอียดมากยิ่งขึ้น